สงครามโลกครั้งที่ 2 ของ พระเจ้าเลออปอลที่_3_แห่งเบลเยียม

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อุบัติขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 รัฐบาลฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรได้พยายามโน้มน้าวเบลเยียมให้ร่วมเป็นพันธมิตร แต่พระองค์รวมทั้งรัฐบาลยังคงปฏิเสธ และยังคงยืนกรานที่จะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยพิจารณาจากการเตรียมการไว้อย่างดีและระมัดระวังต่อการรุกรานที่อาจจะเกิดขึ้นจากกองกำลังฝ่ายอักษะ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนในปี ค.ศ. 1914 จากการรุกรานโดยกองทัพเยอรมัน

ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมันได้บุกเข้าประเทศเบลเยียม เพียงหนึ่งวันของการเข้าโจมตีแนวตั้งรับของกองทัพเบลเยียมประจำป้อมเอเบิน-เอมาเอล ได้พ่ายแพ้จากปฏิบัติการโดยกองกำลังทหารร่ม และผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายก่อนที่กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษจะเดินมาถึง และในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับการเตรียมการมาอย่างดีของกองทัพเยอรมันที่มีความชำนาญในการรบมากกว่า

การรักษาพรมแดนเบลเยียมนั้นถือเป็นการป้องกันมิให้กองทัพอังกฤษถูกตีขนาบและตัดออกจากชายฝั่ง โดยสามารถที่จะทำการอพยพผ่านปฏิบัติการที่ดังเคิร์กได้ และหลังจากการพ่ายแพ้ของกองทัพเบลเยียมแล้ว พระเจ้าเลออปอลที่ 3 ยังคงประทับอยู่ในกรุงบรัสเซลส์เพื่อจะเผชิญหน้ากับกองทัพผู้รุกราน (ต่างจากสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ ที่เผชิญวิกฤติการณ์เดียวกัน) ในขณะที่รัฐบาลนั้นอพยพไปยังปารีส และต่อมายังกรุงลอนดอน

ยอมจำนนต่อสงคราม และวิกฤติการณ์รัฐธรรมนูญ

ดูบทความหลักที่: ปัญหาราชวงศ์

ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 พระองค์ยังคงเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเบลเยียม และได้ทรงพบปะคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีนั้นพยายามโน้มน้าวให้พระองค์เสด็จลี้ภัยพร้อมกับรัฐบาล อูแบร์ ปิแยร์โล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวเตือนพระองค์ว่าการยอมจำนนต่อสงครามนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล มิใช่ของกษัตริย์ ซึ่งพระองค์ก็ยังคงปฏิเสธที่จะลี้ภัย และยังคงอยู่ในประเทศกับกองทัพของพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ตีความว่าพระองค์จะก่อตั้งรัฐบาลปกครองประเทศใหม่ภายใต้การควบคุมของฮิตเลอร์ ซึ่งจะถือว่าพระองค์เป็นกบฏต่อแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงคิดว่าหากทรงเสด็จลี้ภัยต่างประเทศแล้วจะกลายเป็นทหารหนีทัพ พระองค์เคยมีพระราชดำรัสไว้ว่า "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็จะยอมร่วมชะตาเดียวกันกับกองทัพของข้าพเจ้า"[1] ซึ่งที่ผ่านมาพระองค์มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันกับคณะรัฐมนตรีของพระองค์ ซึ่งมักจะเห็นได้ว่าพระองค์มักจะประพฤติตรงกันข้ามกับรัฐบาลอยู่เสมอ และทรงมักจะหาอุบายเพื่อกำจัดหรือลดอำนาจของรัฐมนตรีลง และเพิ่มอำนาจให้กับพระองค์เอง[1]

ในขณะที่กองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ และเบลเยียมถูกล้อมโดยกองทัพเยอรมันที่ยุทธการแห่งดังเกิร์ก พระองค์ทรงพระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร โดยโทรเลขเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ว่ากองทัพเบลเยียมกำลังถูกบดขยี้ "ความช่วยเหลือที่เราพึงให้แก่พันธมิตรของเราจะต้องจบสิ้นลงหากกองทัพของเราถูกล้อมไว้สิ้น"[2] และสองวันต่อมา (27 พฤษภาคม ค.ศ. 1940) พระองค์ได้ยอมจำนนต่อกองทัพเยอรมัน

อูแบร์ ปิแยร์โล นายกรัฐมนตรีเบลเยียมได้กล่าวออกอากาศทางสถานีวิทยุฝรั่งเศสว่าการตัดสินใจของพระองค์ในการยอมแพ้นั้นมิใช่พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ ว่าการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการตัดสินทางการทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นทางการเมืองด้วย และการที่ทรงประพฤติเช่นนั้นโดยปราศจากการปรึกษากับคณะรัฐมนตรีนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งในครั้งนี้ปิแยร์โลและรัฐบาลเชื่อว่าพระองค์ "ไม่สามารถปกครองได้อีกต่อไป":

หากพระเจ้าแผ่นดินนั้นไม่สามารถปกครองได้ คณะรัฐมนตรีซึ่งได้รับรู้แก่สภาพที่เป็นเหตุนั้น จะต้องทำการเรียกประชุมรัฐสภาทันที โดยจะต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจแทน[3]

สถานการณ์ในขณะนั้นดูจะเป็นไปได้ยากที่จะเรียกประชุมรัฐสภา และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ และภายหลังจากการปลดปล่อยเบลเยียมในเดือนกันยายน ค.ศ. 1944 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญพระราชอนุชา เจ้าชายชาลส์ เคานท์แห่งฟลานเดอร์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

การยอมจำนนของพระองค์ยังเป็นการจุดชนวนการกล่าวหาว่าเป็นกบฏจากนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส โปล เรโน ซึ่งวาเลอร์ และวาน โกเธิม นักประวัติศาสตร์ชาวเฟลมิชได้เขียนว่าพระองค์ได้กลายเป็น "แพะรับบาปแทนเรโน"[4] เนื่องจากเรโนนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าสมรภูมิในฝรั่งเศสนั้นจะต้องพบกับความพ่ายแพ้เป็นแน่

นอกจากนี้ ยังมีการประณามพระองค์โดยวินสตัน เชอร์ชิล ในสภาสามัญชน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ความว่า:

ในช่วงสุดท้ายที่เบลเยียมถูกรุกราน พระเจ้าเลออปอลที่ 3 ทรงเรียกร้องให้เราช่วยเหลือ และในช่วงสุดท้ายเมื่อพวกเราไปถึง พระองค์และกองทัพอันห้าวหาญและมีประสิทธิภาพรวมกว่าครึ่งล้านคน ได้รักษาชายฝั่งเพื่อให้เราล่าถอยได้อย่างปลอดภัย แต่ทันทีทันใด และปราศจากการปรึกษาและตักเตือนใดๆ ปราศจากการปรึกษากับคณะรัฐมนตรีของพระองค์ พระองค์ได้ตัดสินพระทัยส่งทูตผู้มีอำนาจเต็มไปยังกองทัพเยอรมัน ยอมจำนนกองทัพของพระองค์ ซึ่งเป็นการเปิดช่องต่อการรุกรานชายฝั่งอันต้องใช้เป็นสถานที่ถอยทัพของเรา[5]

ในปี ค.ศ. 1949 การกล่าวของวินสตัน เชอร์ชิลเกี่ยวกับสถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 ซึ่งตีพิมพ์ใน "เลอ​ ซัวร์" (12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1949) อดีตเลขานุการของพระองค์ได้ส่งจดหมายถึงเชอร์ชิลว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเชอร์ชิลได้ส่งสำเนาจดหมายฉบับนี้ไปยังเจ้าชายชาลส์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผ่านทางอ็องเดร เดอ สแตร์ก เลขานุการของพระองค์ ซึ่งมีใจความในจดหมายเขียนโดยเชอร์ชิลว่า

ด้วยความเคารพอย่างสูงต่อพระเจ้าเลออปอล คำพูดที่กระหม่อมใช้กล่าวในสภาสามัญชนในครั้งนั้นได้เกิดจากการไตร่ตรองอย่างระมัดระวังแล้ว ซึ่งกระหม่อมก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเปลี่ยนข้อความเหล่านั้น กระหม่อมเห็นเป็นอย่างยิ่งเหมือนผู้อื่นๆว่าพระมหากษัตริย์นั้นจะต้องได้รับคำปรึกษาจากคณะรัฐมนตรีของพระองค์ และจึงไม่ควรที่ได้รับการสนับสนุนที่จะเป็นการยอมจำนนกองทัพเบลเยียม พร้อมทั้งการอ่อนน้อมของราชอาณาจักรเบลเยียมต่อฮิตเลอร์ ซึ่งในที่สุดก็นำพาพวกเขาออกจากสงครามได้ และในที่สุดความชั่วร้ายในครั้งนั้นก็ถูกปัดเป่าไป และในที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดียิ่ง กระหม่อมยากที่จะกล่าวว่าไม่มีสิ่งอันใดที่กระหม่อมกล่าวในครั้งนั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและพระเกียรติยศของสมเด็จพระเจ้าเลย[6]

เดอ สแตร์ก ได้ตอบกลับจดหมายของเชอร์ชิล ว่าเขามีเหตุผลถูกต้องแล้ว: "เจ้าชายผู้สำเร็จราชการฯ คุณสปาก และข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของท่าน ซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องจริงและดูเหมือนจะเป็นเรื่องยินดียิ่งแก่พวกเรา"[7]

อ็องเดร เดอ สแตร์ก เป็นหนึ่งในประจักษ์พยานสำคัญของวิกฤตการณ์ของรัฐบาลเบลเยียมในปี ค.ศ. 1940 ซึ่งเป็นไปตามคำร้องของเขา ว่าบันทึกประจำวันที่เขาเขียนขึ้นเกี่ยวกับเจ้าชายชาลส์ (ซึ่งได้เขียนจากการแนะนำของเชอร์ชิล) ให้ตีพิมพ์หลังจากที่เขาถึงแก่กรรมแล้วในปี ค.ศ. 2003 ด้วยความช่วยเหลือ และบทนำโดยนักประวัติศาสตร์เบลเยียม ฌ็อง สเต็นเกอร์ บันทึกเล่มนี้ยังกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าโบดวง มักจะไม่ทรงโปรดผู้คนที่อยู่ตรงข้ามกับพระราชบิดาในคราที่จะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเดอ สแตร์กก็ได้กลายมาเป็นพระสหายคนสำคัญของพระองค์ ในงานพระราชทานเลี้ยงหลังจากงานพระศพของเจ้าชายชาลส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1983 พระองค์ประทับอยู่เบื้องซ้ายของเดอ สแตร์ก[8]

ฟรานซิส บาลาส นักประวัติศาสตร์ชาวเบลเยียมได้กล่าวว่าการยอมจำนนในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากกองทัพเบลเยียมนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะรบกับกองทัพเยอรมันได้อีกต่อไป[9] แม้ว่าเชอร์ชิลยังยอมรับว่าสถานการณ์ในขณะนั้นวิกฤตยิ่ง ดังปรากฏในโทรเลขถึงจอมพลลอร์ดกอร์ต เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม เพียงหนึ่งวันหลังจากการยอมจำนนของเบลเยียม ความว่า "เรากำลังขอให้พวกเขาเสียสละชีวิตพวกเขาให้แก่เรา"[10]

หลังจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศส

ภายหลังจากการจำนนของพระองค์ รัฐบาลพลัดถิ่นของเบลเยียมนั้นยังลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส และเมื่อฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้แก่สงครามเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 รัฐมนตรีหลายคนพยายามที่จะกลับไปยังเบลเยียม โดยพยายามร้องขอพระบรมราชนุญาติ แต่ถูกพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสัณฐานกลับ:

ปิแยร์โล และรัฐบาลของเขาเห็นว่ายุโรปตะวันตกนั้นถูกยึดครองโดยกองทัพเยอรมันอย่างราบคาบแล้ว และพยายามที่จะปรับความเข้าใจกับพระมหากษัตริย์ของพวกเขา ว่าจะสามารถเป็นไปได้หรือไม่ที่จะยอมให้พวกเข้ากลับเข้าไปในเบลเยียมและตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่? ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงแสดงออกถึงความถือพระองค์ ว่าทรงถูกหมิ่นโดยคณะรัฐมนตรีแล้วคราหนึ่ง..... โดยทรงมีพระราชปฏิสัณฐานกลับสั้น ๆ ว่า: "สถานการณ์สำหรับพระมหากษัตริย์นั้นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และพระองค์ไม่จำเป็นต้องรับรองนักการเมือง"[1]

เนื่องจากความนิยมกษัตริย์ในสมัยนั้นสูงมาก และการลดความนิยมของรัฐบาลในช่วงยุค 1940[11] จึงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ฝั่งรัฐบาลขึ้น จากหลักฐานจากสำนักพิมพ์ราชสำนัก ความว่า:

การที่ทรงปฏิเสธ (ที่จะปรับความเข้าใจกับคณะรัฐมนตรี) ในครั้งนั้นทำให้พวกเขาไม่เหลือทางเลือกมากนักนอกจากย้ายไปกรุงลอนดอน ซึ่งพวกเขาสามารถที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทนของอิสรภาพเบลเยียมได้ จากช่วงแรกที่พวกเขาไปถึงลอนดอน พวกเขายังมั่นใจว่าฝ่ายพันธมิตรจะมีชัยชนะ และถูกปฏิบัติด้วยความเคารพในฐานะพันธมิตร... ปิแอร์โล และสปาก ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับพระองค์ในฐานะของวีรบุรุษเชลยศึก และยังกล่าวอีกว่าชาวเบลเยียมควรจะสนับสนุนพระองค์ แต่พวกเขาไม่อาจทราบได้เลยว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ในพระราชวังที่ลาเคิน พระองค์ปฏิเสธที่จะตอบกลับจดหมาย และอยู่อย่างสงบ พระองค์กำลังทำอะไรอยู่? พระองค์กำลังร่วมมือ หรือตอบโต้ฝ่ายเยอรมัน หรือพระองค์ทรงเลือกที่จะอยู่เงียบ และรอว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป[1]

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1940 รัฐมนตรีหลายคนพบปะกันที่เลอ แปร์ตุส ใกล้กับชายแดนสเปน นายกรัฐมนตรีปิแอร์โล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โปล-อ็องรี สปาก นั้นถูกชักชวนให้ลี้ภัยยังกรุงลอนดอน แต่ก็สามารถเริ่มเดินทางได้เพียงปลายเดือนสิงหาคม และจะต้องผ่านทางสเปนและโปรตุเกสเท่านั้น และเมื่อพวกเขาไปถึงยังสเปน ก็ได้ถูกจับกุมและกักขังโดยการปกครองภายใต้ผู้นำฟรันซิสโก ฟรังโก และต่อมาถูกปล่อยตัวและเดินทางถึงลอนดอนเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้น

ทรงพบปะกับฮิตเลอร์

พระองค์ทรงไม่ยอมร่วมมือใด ๆ กับนาซี และไม่ยอมปกครองเบลเยียมเป็นหุ่นเชิดตามที่เยอรมันบังคับ จึงทำให้เยอรมันต้องใช้วิธีการตั้งรัฐบาลทหารขึ้น พระองค์ยังพยายามที่จะใช้สิทธิในฐานะของพระมหากษัตริย์และประมุขของรัฐบาลถึงแม้ว่าในความจริงแล้วทรงเป็นเพียงเชลยศึกของเยอรมันเท่านั้น ถึงแม้จะมีท่าทีอันแข็งกร้าวต่อฝ่ายเยอรมัน รัฐบาลพลัดถิ่นของเบลเยียมในกรุงลอนดอนได้กล่าวย้ำว่าพระองค์มิได้เป็นตัวแทนของรัฐบาลเบลเยียม และไม่อยู่ในฐานะที่จะปกครองในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน กองทัพเยอรมันจึงจับกุมพระองค์ไว้ในพระราชวังที่ลาเคินในกรุงบรัสเซลส์ และด้วยความต้องการที่จะพบหน้ากับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ในที่สุดพระองค์ก็ได้พบเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน ซึ่งพระองค์ต้องการให้ฮิตเลอร์ออกแถลงการณ์ถึงอิสรภาพของเบลเยียมในอนาคต ซึ่งฮิตเลอร์ก็ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงอิสรภาพของเบลเยียม หรือแม้กระทั่งออกแถลงการณ์ใด ๆ ที่เกี่ยวกัน ซึ่งจากการปฏิเสธของฮิตเลอร์นั้นได้กลายเป็นคุณต่อพระองค์ในภายภาคหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากการถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับเยอรมนี อันจะเป็นผลให้พระองค์กลายเป็นกบฏต่อแผ่นดินโดยปริยาย ซึ่งจะเป็นเหตุที่ทำให้พระองค์จะถูกบีบให้สละราชสมบัติภายหลังสงคราม "ฮิตเลอร์ได้ช่วยพระองค์ไว้ถึงสองครั้งด้วยกัน"[12]

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ